นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่มีกระแสข่าวพูดคุยกับนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในการจัดตั้งรัฐบาลระหว่างพรรคเพื่อไทยและพรรคประชาชน โดยยอมรับว่า ได้พูดคุยกับนายทักษิณแล้ว หลังจากที่ได้รับการติดต่อมาตั้งแต่วันที่ 29 ส.ค.68 เพื่อขอคุย ซึ่งนายทักษิณได้มาปรึกษาหารือต่อกรณีที่พรรคประชาชนจะยกมือสนับสนุนให้นายชัยเกษม นิติสิริ เป็นนายกรัฐมนตรีได้หรือไม่ ซึ่งตนบอกนายทักษิณไปว่าทางพรรคประชาชนมีจุดยืนเรื่องนี้ชัดเจนและได้แถลงจุดยืนเรื่องนี้มาสองเดือนแล้ว ในเรื่องทีโออาร์หรือเงื่อนไขของการยกมือสนับสนุนผู้หนึ่งผู้ใดเป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งเงื่อนไขคือ ยุบสภาฯ ภายใน 4 เดือน และจัดทำประชามติเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญให้เสร็จในช่วงเวลานั้น
ส่วนกังวลว่าประวัติศาสตร์จะซ้ำรอยหรือไม่ที่พรรคเพื่อไทยพยายามติดต่อมาทางพรรคประชาชนซึ่งคืออดีตพรรคก้าวไกล นายธนาธร ระบุว่า พรรคประชาชนมีเงื่อนไขที่ชัดเจนขึ้นอยู่กับพรรคเพื่อไทยจะยอมรับเงื่อนไขของพรรคประชาชนได้หรือไม่ หากพรรคเพื่อไทยยอมรับเงื่อนไขของพรรคประชาชนได้ ก็ไม่ต้องมาคุยกับตน ไปคุยกับหัวหน้าพรรคได้เลย ซึ่งหัวหน้าพรรคได้ให้สัมภาษณ์ไปแล้วว่ายังไม่ได้มีการติดต่อหรือนัดหมายจากทางพรรคเพื่อไทยอย่างเป็นทางการ
นายธนาธรยังกล่าวถึงกรณีที่ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ และนายพงศ์กวิน จึงรุ่งเรืองกิจ อาจจะทำให้คุยกันในตระกูลจึงรุ่งเรืองกิจได้มากกว่านั้น โดยบอกว่า นายสุริยะเป็นอาและตนกับนายพงศ์กวินเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน ด้วยความเคารพทั้งสองท่านเป็นญาติกัน แต่เรื่องปัญหาของบ้านเมือง ปัญหาเรื่องการเมือง ไม่ได้ใช้จุดนี้มาคุยกัน และยังไม่ได้รับการติดต่อเพื่อพูดคุยจากทั้งสองคน
ส่วนพรรคประชาชนยังไม่ปิดประตูเลือกนายชัยเกษมใช่หรือไม่นั้น หัวหน้าพรรคประชาชนได้ตอบชัดเจนแล้ว ส่วนพรรคประชาชนจะเลือกพรรคไหนนั้นในมุมมองของตนเข้าใจว่า เหตุผลที่พรรคประชาชนยื่นทีโออาร์ มีเงื่อนไขขึ้นมาไม่ได้อยากมีอำนาจหรืออยากเป็นรัฐบาล และพรรคประชาชนยังเป็นฝ่ายค้านเช่นเดิม แต่สิ่งที่พรรคประชาชนต้องการ คือ การพาประเทศไปข้างหน้า เพราะด้วยสภาฯ ในปัจจุบันไม่มีกลุ่มการเมืองไหนที่มีความชอบธรรม และมีศักยภาพภาพเพียงพอที่จะพาประเทศไปข้างหน้า ไม่มีใครที่จะมีความสามารถในการแก้ปัญหาของประเทศได้ไม่ว่าจะเป็นปัญหายาเสพติด ปัญหาการฟื้นฟูความเชื่อมั่นของนักลงทุน รวมถึงปัญหาเรื่นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่มีกระแสข่าวพูดคุยกับนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในการจัดตั้งรัฐบาลระหว่างพรรคเพื่อไทยและพรรคประชาชน โดยยอมรับว่า ได้พูดคุยกับนายทักษิณแล้ว หลังจากที่ได้รับการติดต่อมาตั้งแต่วันที่ 29 ส.ค.68 เพื่อขอคุย ซึ่งนายทักษิณได้มาปรึกษาหารือต่อกรณีที่พรรคประชาชนจะยกมือสนับสนุนให้นายชัยเกษม นิติสิริ เป็นนายกรัฐมนตรีได้หรือไม่ ซึ่งตนบอกนายทักษิณไปว่าทางพรรคประชาชนมีจุดยืนเรื่องนี้ชัดเจนและได้แถลงจุดยืนเรื่องนี้มาสองเดือนแล้ว ในเรื่องทีโออาร์หรือเงื่อนไขของการยกมือสนับสนุนผู้หนึ่งผู้ใดเป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งเงื่อนไขคือ ยุบสภาฯ ภายใน 4 เดือน และจัดทำประชามติเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญให้เสร็จในช่วงเวลานั้น
ส่วนกังวลว่าประวัติศาสตร์จะซ้ำรอยหรือไม่ที่พรรคเพื่อไทยพยายามติดต่อมาทางพรรคประชาชนซึ่งคืออดีตพรรคก้าวไกล นายธนาธร ระบุว่า พรรคประชาชนมีเงื่อนไขที่ชัดเจนขึ้นอยู่กับพรรคเพื่อไทยจะยอมรับเงื่อนไขของพรรคประชาชนได้หรือไม่ หากพรรคเพื่อไทยยอมรับเงื่อนไขของพรรคประชาชนได้ ก็ไม่ต้องมาคุยกับตน ไปคุยกับหัวหน้าพรรคได้เลย ซึ่งหัวหน้าพรรคได้ให้สัมภาษณ์ไปแล้วว่ายังไม่ได้มีการติดต่อหรือนัดหมายจากทางพรรคเพื่อไทยอย่างเป็นทางการ
นายธนาธรยังกล่าวถึงกรณีที่ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ และนายพงศ์กวิน จึงรุ่งเรืองกิจ อาจจะทำให้คุยกันในตระกูลจึงรุ่งเรืองกิจได้มากกว่านั้น โดยบอกว่า นายสุริยะเป็นอาและตนกับนายพงศ์กวินเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน ด้วยความเคารพทั้งสองท่านเป็นญาติกัน แต่เรื่องปัญหาของบ้านเมือง ปัญหาเรื่องการเมือง ไม่ได้ใช้จุดนี้มาคุยกัน และยังไม่ได้รับการติดต่อเพื่อพูดคุยจากทั้งสองคน
ส่วนพรรคประชาชนยังไม่ปิดประตูเลือกนายชัยเกษมใช่หรือไม่นั้น หัวหน้าพรรคประชาชนได้ตอบชัดเจนแล้ว ส่วนพรรคประชาชนจะเลือกพรรคไหนนั้นในมุมมองของตนเข้าใจว่า เหตุผลที่พรรคประชาชนยื่นทีโออาร์ มีเงื่อนไขขึ้นมาไม่ได้อยากมีอำนาจหรืออยากเป็นรัฐบาล และพรรคประชาชนยังเป็นฝ่ายค้านเช่นเดิม แต่สิ่งที่พรรคประชาชนต้องการ คือ การพาประเทศไปข้างหน้า เพราะด้วยสภาฯ ในปัจจุบันไม่มีกลุ่มการเมืองไหนที่มีความชอบธรรม และมีศักยภาพภาพเพียงพอที่จะพาประเทศไปข้างหน้า ไม่มีใครที่จะมีความสามารถในการแก้ปัญหาของประเทศได้ไม่ว่าจะเป็นปัญหายาเสพติด ปัญหาการฟื้นฟูความเชื่อมั่นของนักลงทุน รวมถึงปัญหาเรื่องการเมืององการเมืองดังนั้นวิธีที่ดีที่สุดภายใต้สถานการณ์แบบนี้ คือการคืนอำนาจให้กับประชาชนในการยุบสภาฯ ดังนั้นพรรคประชาชนจึงไม่มีเงื่อนไขที่ยาวเหยียด เป็นเงื่อนไขที่เรียบง่ายเพียงสองข้อเพื่อตอบโจทย์สถานการณ์เฉพาะหน้าจริงๆ ว่าสิ่งที่เราต้องการคือสภาผู้แทนราษฎรชุดใหม่ที่ได้รับฉันทามติจากประชาชนให้พาประเทศไปข้างหน้า นี่คือโจทย์ใหญ่ของสังคมและตนเองสนับสนุนเงื่อนไขของพรรคประชาชน
เมื่อถามว่า ภายในเวลา 4 เดือน คิดว่าเพียงพอต่อการทำกระบวนการประชามติหรือไม่ นายธนาธรกล่าวว่า ตนเชื่อว่าพรรคประชาชนได้คำนวณมาแล้วว่าภายใน 4 เดือนเพียงพอในการทำประชามติในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ
ทั้งนี้นายธนาธร ยืนยันหนักแน่นว่า พรรคเพื่อไทย และพรรคภูมิใจไทย พรรคประชาชน ไม่มีกลุ่มไหน รวมเสียงข้างมาก และจัดตั้งรัฐบาลได้ ดังนั้นต้องสื่อสารกับประชาชนอย่างตรงไปตรงมาว่าสถานการณ์เช่นนี้ การคืนอำนาจให้ประชาชนเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล ส่วนจะเลือกใครก็ต้องดูว่า พรรคไหนมีโอกาสทำสิ่งต่างๆได้มากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นพรรคไหนพรรคประชาชนพร้อมรับฟังข้อเสนอ
ส่วนความกังวลหรือไม่เรื่องการจะถูกฉีก MOU นั้น ต้องให้ประชาชนตัดสิน หากพรรคไหนรับเงื่อนไขของพรรคประชาชนไปแล้วไม่ทำตาม ก็ขอให้ประชาชนตัดสิน ส่วนจะคุยกับพรรคภูมิใจไทยเพิ่มเติมหรือไม่ ให้ไปถามหัวหน้าพรรคประชาชน เพราะตอนนี้ข้อเสนอของพรรคภูมิใจไทยอยู่บนโต๊ะเรียบร้อยแล้ว
เมื่อถามว่าห่วงหรือไม่ว่าเมื่อมีการทำเอ็มโอยูไปแล้ว ท้ายที่สุดจะมีการฉีกเอ็มโอยู นายธนาธรกล่าวว่า เรื่องนั้นต้องให้ประชาชนตัดสิน หากพรรคไหนรับเงื่อนไขของพรรคประชาชนไปแล้วไม่ทำตามสิ่งที่สัญญาไว้ ก็ให้ประชาชนตัดสิน ส่วนจะคุยกับพรรคภูมิใจไทยเพิ่มเติมหรือไม่ ให้ไปถามหัวหน้าพรรคประชาชน เพราะตอนนี้ข้อเสนอของพรรคภูมิใจไทยอยู่บนโต๊ะเรียบร้อยแล้ว